วันนี้ (25 มีนาคม 2565) นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เป็นประธานการสัมมนาทดสอบความสนใจของนักลงทุนภาคเอกชน โครงการศึกษาวิเคราะห์ โครงการการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล โดยมี นายสุรชาติ มาลาศรี ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการ นายวิทยา แก้วมี ผู้อำนวยการกองแผนงาน บริษัทที่ปรึกษา ภาครัฐและเอกชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร
นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล พ.ศ. 2561 ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) พ.ศ. 2564 เสนอให้มีการพัฒนาโครงการฯ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักสำคัญของประเทศ เนื่องจากน้ำในลุ่มน้ำยวมในฤดูฝนมีปริมาณน้ำมาก การพัฒนาโครงการผันน้ำยวม จึงเป็นการเพิ่มความมั่นคงทางด้านน้ำให้กับเขื่อนภูมิพลที่ยังสามารถเก็บกักน้ำได้อีกเป็นปริมาณมาก ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่รอบโครงการ ก่อให้เกิดเสถียรภาพและความมั่นคงในการใช้น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งพื้นที่ตั้งองค์ประกอบสำคัญครอบคลุม 3 จังหวัด คือ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และตาก
“เนื่องจากมูลค่าการลงทุนของโครงการจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างสูงมาก กรมชลประทานจึงได้มีการจ้างดำเนินการ “โครงการศึกษาวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public Private Partnership : PPP) โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม – อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล” ตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 มีรายละเอียดของการศึกษาที่สำคัญ เช่น การวิเคราะห์รูปแบบและวิธีการที่เหมาะสมของการร่วมลงทุน การศึกษาความเป็นไปได้ด้านการเงินกรณีร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เพื่อนำเสนอผลการศึกษาต่อ คณะรัฐมนตรีในการพิจารณาตัดสินใจทางเลือกของการลุงทุนค่าก่อสร้างโครงการที่เหมาะสมระหว่างทางเลือกการดำเนินการโดยรัฐ และการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ทำให้มีข้อมูลที่ครอบคลุมรอบด้านก่อนพิจารณาอนุมัติเปิดโครงการต่อไป” นายเฉลิมเกียรติฯ กล่าว
การศึกษาครั้งนี้ จึงให้ความสำคัญในเรื่องการวิเคราะห์ราคาค่าก่อสร้างโครงการเป็นอย่างมากเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเนื่องจากที่ผ่านมามักมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยมักนำค่าดำเนินการและค่าบำรุงรักษา หรือค่าอื่นๆ มารวมเป็นค่าก่อสร้างโครงการ ทั้งที่ผลการวิเคราะห์ตามรายงาน EIA ปีพ.ศ. 2559 ประมาณ 71,000 ล้านบาท ให้เป็นราคาปีปัจจุบัน (พ.ศ. 2565) ซึ่งจะมีมูลค่าก่อสร้างโดยประมาณ 88,000 ล้านบาท ทั้งนี้ทางเลือกการลงทุนในรูปแบบของการ่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน จะมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 170,000 ล้านบาท แยกเป็นค่าลงทุนโครงการประมาณ 88,000 ล้านบาท และเป็นค่าดำเนินงานผันน้ำและบำรุงรักษาตลอดระยะเวลาการดำเนินงาน 25 ปี ของเอกชน เป็นเงินประมาณ 82,000 ล้านบาท ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคมว่ามีค่าก่อสร้างที่สูง แต่โดยแท้จริงแล้วการคำนวณทางเศรษฐศาสตร์ได้รวม ค่าก่อสร้าง ค่าดำเนินงานและค่าบำรุงรักษา เป็นต้นทุนทั้งหมด ในขณะเดียวกันการคำนวณยังได้พิจารณาถึงส่วนของผลประโยชน์จากโครงการด้านต่างๆ ที่ได้จากปริมาณน้ำที่ผันในแต่ละปีแล้วด้วย
ทั้งนี้ หากโครงการแล้วเสร็จ จะสามารถสร้างประโยชน์ครอบคลุมทุกด้าน เช่น ด้านการเกษตร เกษตรกรได้รับประโยชน์กว่า 70,000 ครัวเรือน ด้านอุปโภคบริโภคจะมีการจัดสรรน้ำเฉลี่ยปีละ 300 ล้าน ลบ.ม.ได้รับประโยชน์ กว่า 1,300,000 ครัวเรือน ด้านการผลิตไฟฟ้า โรงไฟฟ้าพลังน้ำของเขื่อนภูมิพลผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 426 ล้านหน่วย ผู้ใช้ไฟฟ้าได้รับประโยชน์ 100,000 ครัวเรือน ด้านประมงในเขื่อนน้ำยวม ด้านการท่องเที่ยว ด้านธุรกิจและอุตสาหกรรม รวมถึงการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ ด้วย
No Comments