กรมชลประทาน สนองนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขยายผลโครงการสาธิตการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง (แกล้งข้าว) รณรงค์เกษตรกรพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทำนาแบบใช้น้ำน้อย ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต
วันนี้ (26 ธันวาคม 2564) นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เป็นประธานการประชุมและติดตามการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้ง 2564/65 และการส่งเสริมแนวทางการทำนาแบบเปียกสลับแห้งในเขตพื้นที่สำนักงานชลประทานที่ 12 โดยมี ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน ดร.วัชระ เสือดี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมชลประทาน (ด้านบำรุงรักษา) ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา นายเนรมิตร เทพนอก รองผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 12 นายวิวัฒน์ มณีอินทร์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน นายชวลิต ฉลอม ผู้อำนวยการส่วนบริหารจัดการน้ำและบำรุงรักษา และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ สำนักงานชลประทานที่ 12 จังหวัดชัยนาท
นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า สำนักงานชลประทานที่ 12 มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานประมาณ 2.4 ล้านไร่ มีแผนปลูกข้าวนาปรัง ปี 2564/65 ประมาณ 8.3 แสนไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 34 โดยใช้ปริมาณน้ำต้นทุนจากแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแนวโน้มของปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาคาดว่าจะมีระดับน้ำอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่าเกณฑ์เก็บกักในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถส่งน้ำเข้าสู่ระบบชลประทานได้อย่างเต็มศักยภาพ
กรมชลประทาน จึงได้รณรงค์ให้เกษตรกรเพาะปลูกพืชแบบใช้น้ำน้อย ตามโครงการสาธิตการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ภายใต้โครงการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าปวงประชาถวายพ่อของแผ่นดิน ตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีพื้นที่นำร่อง 4 แห่ง ได้แก่ โครงการชลประทานเชียงใหม่, โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่แตง จ.เชียงใหม่, โครงการชลประทานอุบลราชธานี, โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาโดมน้อย จ.อุบลราชธานี รณรงค์การใช้น้ำอย่างประหยัดด้วยการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง (แกล้งข้าว) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การทำนาแบบใช้น้ำน้อย เป็นวิธีการบริหารจัดการน้ำในการทำนา โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าว สามารถลดปริมาณการใช้น้ำได้มากถึงร้อยละ 28 ของปริมาณน้ำที่ใช้ในการทำนาแบบทั่วไป ซึ่งโดยปกติจะใช้น้ำประมาณ 1,200 ลบ.ม.ต่อไร่ แต่ถ้าทำนาแบบแกล้งข้าว จะใช้น้ำเพียงประมาณ 860 ลบ.ม.ต่อไร่ เท่านั้น นอกจากจะลดปริมาณการใช้น้ำลงแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนการใช้ปุ๋ย สารเคมี และน้ำมันเชื้อเพลิง สามารถลดต้นทุนการผลิตข้าวลง จากไร่ละประมาณ 5,600 บาท เหลือประมาณ 3,400 บาท ที่สำคัญยังทำให้คุณภาพข้าวดีขึ้น เพิ่มปริมาณผลผลิตได้สูงกว่าไร่ละ 1,200 กิโลกรัม ได้อีกด้วย
ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำให้โครงการชลประทานในพื้นที่ส่งเสริมกระบวนการสร้างการรับรู้ให้เกษตรกรและทุกภาคส่วน ตระหนักถึงการใช้น้ำอย่างประหยัด พร้อมบริหารจัดการน้ำด้วยความประณีต และเป็นไปตามแผนบริหารจัดการน้ำฤดูแล้งปี 2564/65 อย่างเคร่งครัด ทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม รวมทั้งจัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือ อาทิ เครื่องสูบน้ำ เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการเพื่อให้มีน้ำเพียงพอใช้ตลอดช่วงฤดูแล้งนี้
No Comments